สวัสดีครับ
ขอต้อนรับเข้าสู่การเปิดบล็อก ‘Do The Earth’ อย่างเป็นทางการ~!
สำหรับบทความนี้จะพูดถึงเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เอิร์ธได้พบเจอในระบบ
TCAS (Thai University Central Admission System) ประจำปี 2561 (#DEK61 ประเดิมปีแรกเลยจ้า)ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเตรียมตัว
หรือความรู้สึกในรอบต่าง ๆ ก็เลยอยากนำมาแบ่งปันให้กับผู้อ่าน (ทั้งที่เป็นผู้ปกครอง
น้อง ๆ ที่กำลังเผชิญกับระบบนี้ และผู้ที่เคยเผชิญระบบนี้มาด้วยกัน) ครับ
หมายเหตุ: หากมีข้อผิดพลาดประการใด
ขออภัย ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
เป้าหมาย
หากพูดถึงการวางเป้าหมายของเอิร์ธในเรื่องของการเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว
มี 4 ประเด็นหลัก ๆ ดังนี้ครับ
1.มหาวิทยาลัย
เอิร์ธเป็นคนที่ยึดจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในดวงใจมาตลอดในช่วงชีวิตมัธยม
เพราะว่าจุฬาฯ เป็นชื่อที่เอิร์ธได้ยินบ่อยที่สุดและคิดว่าจบจากที่นี่
หางานได้แน่นอน (หลักสูตรดี) แต่จริง ๆ ขอแค่อยู่ในกรุงเทพฯ เดินทางไปกลับบ้าน (สระบุรี)ในช่วงวันหยุดได้ค่อนข้างสะดวก
ก็โอเคแล้วครับเพราะเราเป็นคนค่อนข้างติดบ้าน
ข้อสรุป : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ
2.คณะ
เอิร์ธเรียนวิทยาศาสตร์ ศิลปะและพลศึกษาไม่เก่งเลย
ไม่ชอบเนื้อหาที่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์และสังคมศึกษา ดังนั้นจะเหลือภาษาศาสตร์กับเทคโนโลยีสารสนเทศ
เราก็เลยจะมุ่งไปสายสื่อสาร อาทิ อักษรศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ศิลปศาสตร์ ครุศาสตร์
นิเทศศาสตร์
ข้อสรุป : อักษรศาสตร์ มนุษยศาสตร์
ศิลปศาสตร์ ครุศาสตร์ นิเทศศาสตร์
3.สาขา
หากเกี่ยวกับภาษา เอิร์ธอยากเรียนภาษาอังกฤษที่ทำได้ค่อนข้างโอเค
ภาษาไทยที่อาจารย์ให้ไปแข่งบ่อยครั้ง และภาษาเกาหลีที่อยู่ในความสนใจพอดี
ส่วนพวกเกี่ยวกับสื่อ เอิร์ธอยากเรียนกำกับการแสดงทั้งละครและภาพยนตร์ครับ
ข้อสรุป : ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษาเกาหลี และกำกับการแสดง
4.อาชีพในอนาคต
สามประเด็นหลักก่อนหน้าที่กล่าวไปจะส่งผลมาถึงขอบเขตของประเด็นนี้
จริง ๆ
ถือว่าได้ว่าเอิร์ธไม่มีอาชีพในอนาคตที่คาดหวังว่าจะจบไปแล้วจะไปประกอบอย่างแน่ชัด
เนื่องด้วยเราเป็นคนที่ช่างฝัน มีความฝันเยอะมาก และแปรเปลี่ยนไปในช่วงเวลาต่าง ๆ
อย่างตอนประถมก็เคยคิดว่าอยากเป็นหมอ แต่เรากลัวเลือด อยากเป็นทหาร
แต่โตมาด้วยประสบการณ์การเป็นลูกของทหารก็ได้ข้อสรุปว่าตัดทิ้งไปได้เลย อยากเป็นนักร้องเพราะเราชอบในเสียงเพลง
แต่เราดันไม่กล้าแสดงออก จนมาจบสุดท้ายที่อยากเป็นครูครับ
อยากแบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ด้วยวิธีการสอนของเราซึ่งน่าจะเป็นมิตรและเข้าใจนักเรียนได้ดีที่สุดเพราะเราเจอครูมาหลากหลายแบบ
แบบไหนที่เรารู้ว่าเราและเพื่อนไม่ชอบก็จะไม่นำมาใช้กับนักเรียนของเรา จนกระทั่งมาตอนมัธยม
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเป็นวัยที่มีอะไรผ่านมาในชีวิตเยอะมาก เราอยากเป็นนักเขียนเพราะช่วงนั้นนิยายแจ่มใสมาแรงมาก
เราได้ลองเข้าไปอยู่ในโลกของนิยายแจ่มใสจากการที่เพื่อนแนะนำก็ได้พบว่าเป็นงานเขียนที่สนุก
เข้าใจง่าย อ่านได้อย่างเพลิดเพลิน แต่พอเราได้ลองพยายามแต่งนิยาย มันยังตัน
ยังไม่ถูกใจเราก็เลยต้องฝึกฝนต่อไป เราอยากเป็นผู้กำกับละคร
เนื่องจากช่วงนั้นละครไทยโดนโจมตีว่า พล็อตเรื่องซ้ำซาก จำเจ
เน้นแต่เรื่องความซับซ้อนของความรัก ไม่เน้นเรื่องอาชีพ เอิร์ธก็เห็นด้วย
แต่เราอยากเขียนบทละครเองด้วย
ถ้าได้มีโอกาสกำกับละครก็อยากลองเปลี่ยนแปลงละครไทยดูครับ
อีกอาชีพหนึ่งที่อยากเป็น คือ นักการทูต
เพราะเราอยากไปทำงานที่ต่างประเทศและทำงานที่สถานทูตไทย
แต่ความเป็นไปได้สำหรับเอิร์ธยังมีน้อยครับก็เลยต้องเก็บไว้พิจารณา
เหนือสิ่งที่อยากเป็นที่กล่าวไปในข้างต้น
อาชีพที่เอิร์ธอยากทำมากที่สุด คือ เจ้าของค่ายเพลงและโปรดิวเซอร์ครับ แต่ถ้าเราจะไปถึงจุดนั้นก็ต้องมีทุนชีวิตพอสมควร
เอิร์ธก็เลยขอเก็บไว้ในใจและประกอบอาชีพที่สามารถทำได้ไปก่อน
ข้อสรุป : อาชีพในฝัน คือ คุณครู นักเขียน
ผู้กำกับละคร นักการทูต เจ้าของค่ายเพลงและโปรดิวเซอร์
การเตรียมตัวสู้กับระบบ TCAS
ตอนรู้ว่ารุ่นตัวเองโดนเปลี่ยนระบบการคัดเลือกสอบเข้ามหาวิทยาลัยน่าจะเป็นก่อนหน้าที่พี่
#Dek60 จะสู้กับระบบ Admission นะครับ
ถ้าถามว่ารู้สึกยังไงกับการเป็นรุ่นแรกของระบบใหม่ คิดว่าหลาย ๆ
คนน่าจะรู้สึกแบบเดียวกัน
…อีกแล้วหรอวะ
เพราะว่ารุ่น #Dek61
เจออะไรกันมาเยอะมากจริง ๆ แทนที่เราจะได้สู้ในสนามรบเดิมกับรุ่นพี่เพราะเราพอรู้แนวทางสมควรว่าต้องสู้ยังไง
กลับต้องไปสู้กับระบบใหม่ที่ยังไม่มีใครเคยสู้มาก่อน จะรอดไหม
แต่ก็โชคดีที่ยังมีเพื่อน ๆ ในกลุ่มพากันเกาะกลุ่มไปทั้ง
#DekDFair เพื่อดู #DekDOnstage หรือสอบ #DekDPreAd และที่สำคัญ
มีเรื่องอะไรก็คอย Update ให้กันตลอดเวลา ณ จุด ๆ นี้ต้องยกเครดิตให้
การเตรียมความพร้อมในด้านเนื้อหาของสนามสอบต่าง ๆ นั้น
เนื่องจากความขี้เกียจเล็ก ๆ รวมกับการเรียนปกติในโรงเรียนก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว
ทำให้เอิร์ธไม่ได้ไปติวกับสถาบันไหนเลย ดังนั้น การตักตวงความรู้ที่โรงเรียนต้องทำให้ได้มากที่สุด
ถือเป็นการติวไปในตัว
พอเวลาเดินถึงช่วงสุดท้าย… ประมาณ 3 เดือนก่อนสอบ ทุกอย่างจะดูวุ่นวายมาก
ๆ ทั้งการที่เราสอบไม่ติดในรอบแรก และเพื่อนก็เริ่มมีที่เรียนกันแล้ว
ทำให้เรารู้สึกกดดัน
เอิร์ธก็เลยต้องหันไปพึ่งการจัดตารางอ่านหนังสือบวกกับการติวในโครงการ #TCASboostUP ซึ่งได้สมัครไว้ก่อนหน้า (คอร์สละ 1 บาท กระจายโอกาสสู่เด็กไทย) หลังเลิกเรียน
แน่นอนว่าวิธีการดังกล่าวไม่สมควรทำตามในเรื่องของระยะเวลาการเตรียม
แต่ก็มีผลที่ทำให้คะแนนเราดีขึ้นได้จริงนะครับ
เริ่มช้ายังดีกว่าไม่เริ่มเลย :D
สำหรับสนามสอบต่าง ๆ นั้น
เอิร์ธว่าความเข้มข้นและทิศทางของเนื้อหามันจะค่อนข้างต่างกันขึ้นอยู่กับคนออกข้อสอบโดยตรงว่าจะลึกหนาขนาดไหน
เอาไปประยุกต์หรือบูรณาการกับอะไรบ้าง
แต่ขอบเขตมันก็จะอยู่ในเรื่องที่เคยได้เรียนไป รวมถึงข่าวสารต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
Gat Pat
ปีของ #Dek61 จะถูกจำกัดเหลือเพียงแค่รอบเดียวต่อปีการศึกษา
เอิร์ธแอบคิดว่าควรจัดสองครั้งเหมือนเดิมเพราะถ้าเราไม่เคยไปเตรียมตัวในสนามสอบจำลองของ
#DekDPreAd เราจะรู้แนวทางการเตรียมตัวในสนามสอบนี้ สนามสอบนี้เป็นสนามสอบที่เป็นการทดสอบทางวิชาชีพ
โดยตัว Gat จะเป็นการทดสอบทักษะพื้นฐานในการทำงาน คือ
การอ่านแล้วตีความอย่างตัวเชื่อมโยง และภาษาอังกฤษ ซึ่งจำเป็นในปัจจุบัน ส่วนตัว Pat จะเป็นตัวเพิ่มเติมที่จะมาวัดว่าเรามีความเข้าใจและความรู้ขนาดไหนในการที่จะเข้าไปศึกษาต่อที่คณะเกี่ยวกับวิชาชีพนั้นและนำไปใช้ประกอบอาชีพในอนาคตได้หรือไม่
ในส่วนของเนื้อหาข้อสอบ เอิร์ธขอไม่กล่าวถึงนะครับ เพราะค่อนข้างเปลี่ยนไปในทุกปีและน้อง
ๆ สามารถหาแนวขอบเขตมาเตรียมตัวได้อยู่แล้ว เอิร์ธขอบอกว่าสนามสอบนี้ค่อนข้างเป็นคะแนนหลักเพราะมีผลต่อคะแนนเยอะมาก
ๆ ในรอบที่ 3 – 5 ยังไงก็ขอให้วางแผนและเตรียมตัวกันดี ๆ นะครับ
O – Net
ในส่วนของ
O – Net นั้น สำหรับเอิร์ธคิดว่ามันเป็นสนามสอบที่เหมือนเราสอบปลายภาคของมัธยมศึกษาตอนปลายเลย
เป็นการวัดความรู้ ความสามารถ และทักษะที่ได้เรียนมาทั้งหมด
คิดว่าถ้าเป็นคนที่ตั้งใจเรียนในห้องเรียนและได้มีโอกาสกลับไปทบทวนทำความเข้าใจในเนื้อหาเก่าตอนช่วงม.4 - ม.5 (ข้อสอบในสนามสอบส่วนใหญ่ชอบออกเนื้อหาตอนช่วงนั้น) ก็จะผ่านสนามสอบนี้ไปได้สบายมาก
ๆ (เหรอ!?!)
9 วิชาสามัญ
สนามสอบ 9 วิชาสามัญนั้น
สำหรับเอิร์ธคือการวัดความรู้กว้างและความรู้ลึกของเนื้อหาต่าง ๆ ในวิชานั้น ๆ
คือเป็นขั้นกว่าของเนื้อหา O – Net ระดับความยากก็จะเพิ่มขึ้นพอสมควร ถ้าเลือกแล้วว่าจะสอบวิชาไหน
ก็ต้องเตรียมตัวสำหรับสนามสอบนี้พอสมควรเพราะส่วนใหญ่จะมีผลต่อคะแนนในรอบที่ 3 ครับ
นอกจากสนามสอบทั้งสามที่กล่าวไปข้างต้น
ก็ยังมีพวกสนามสอบเกี่ยวกับการทดสอบภาษาต่าง ๆ
หรือวิชาเฉพาะที่ทางมหาวิทยาลัยจัดขึ้น ควรศึกษาและจัดการวางแผนกันให้ดีนะครับ
บางสนามสอบมีจัดมาก่อนหน้าที่จะสมัครแล้ว อาจทำให้ไม่มีสิทธิยื่นเข้าคัดเลือกได้
รอบ 1 Portfolio : มั่นใจแค่ไหน ไม่เตรียมตัวก็พลาด
ความพึงพอใจ : 3.5/5
ระดับความยาก : 4.5/5 (ขึ้นอยู่กับความสามารถอันโดดเด่นและทักษะการตอบคำถามสัมภาษณ์)
ปัญหาที่พบ : ค่าใช้จ่ายมากมายที่มากับ Portfolio ที่แย่งชิงความโดดเด่น
“เอิร์ธเก่งอยู่แล้ว ทำได้แน่นอน”
“พอร์ตมึงหนา ผลงานเยอะขนาดนี้ ถ้าเขาไม่รับมึงก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”
ต้องบอกว่าเป็นความโชคดีของเอิร์ธที่มีความสามารถในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์
การทำ Portfolio เราจึงสามารถใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปได้เต็มที่
แก้งานได้ตามที่เราชอบ และเราภูมิใจที่ช่วยพ่อแม่ประหยัดค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้บ้าง คำพูดดังกล่าวมันเลยทำให้เอิร์ธมั่นใจมากครับว่ารอบนี้เอิร์ธจะได้ที่เรียนมาพิจารณาดูบ้าง
แต่ต่อให้ชายฝั่งจะแข็งแกร่งยังไง คลื่นที่ซัดมาเรื่อย ๆ ย่อมทำลายได้เหมือนกัน
คลื่นลูกแรกที่เอิร์ธต้องเจอคือการประกาศคุณสมบัติของผู้จะยื่นแฟ้มสะสมผลงานได้ของจุฬาฯ
ไม่มีเกณฑ์ไหนที่เอิร์ธจะสมัครได้ทันทีเลย และยังมีเกณฑ์เดียวที่เอิร์ธสามารถ ‘สร้าง’ ให้ทันกับการสมัครได้
คือ ‘CU-TEP’
ต้องบอกว่าเอิร์ธพลาดจริง ๆ ที่ไม่เคยศึกษามาก่อนว่า
ถ้าเข้าคณะสายภาษา จำเป็นต้องมีผลการทดสอบภาษาอังกฤษไว้
แต่ก็ยังดีที่มีโอกาสสมัครและสอบได้ทันถึง 2 รอบ ซึ่งทั้งสองรอบ คะแนนก็ไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนด
ดังนั้น รอบพอร์ตของเอิร์ธกับจุฬาฯ เท่ากับล้มเหลว
เราก็เสียความมั่นใจไปสักพักหนึ่งเลยจนมีเพื่อนคนหนึ่งที่เขาอยากเข้ามหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒมาชวนเพื่อนในกลุ่มสมัครรอบหนึ่ง
เอิร์ธก็เลยตัดสินใจค้นหาว่ามีอะไรน่าสนใจบ้างจนมาเจอกับวิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม
… เอาล่ะ ได้ใช้
Portfolio ที่ทำส่งครูแล้วโว้ย
เอิร์ธก็เลยตัดสินใจสมัครโครงการเด็กดีมีที่เรียน
วิชาเอกการแสดงและกำกับการแสดงภาพยนตร์
สาขาวิชาภาพยนตร์และสื่อดิจิทัล วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒไปและพบกับความล้มเหลวเป็นครั้งที่
2 เนื่องจากทั้งโครงการ
วิชาเอก วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยแข่งขันสูงมาก คนเก่ง ๆ ก็เยอะเป็นธรรมดาครับ
ต่อมามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็เปิดให้สมัครเช่นกัน
ด้วยความที่เป็นมหาวิทยาลัยที่ใกล้บ้าน
เอิร์ธก็เลยชวนเพื่อนลองสมัครยื่นแฟ้มผลงานกันดู โดยเอิร์ธเลือกสมัครสาขาการระหว่างประเทศ
คณะรัฐศาสตร์ครับ เนื่องจากช่วงนั้นอินกับนักการทูตและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็โดดเด่นด้านนี้พอสมควร
แต่ด้วยความที่สับสนกับคุณสมบัติคิดว่าต้องมีผลคะแนน TU-GET ด้วย (จริง ๆ
ไม่ต้องใช้) ก็พาเพื่อนสมัครสอบด้วย ผลก็ออกมาตามที่ทุกคนคาดเดาได้ คือ นอกจากคะแนน TU-GET จะไม่ดีแล้ว ผลการยื่นก็ไม่ผ่านด้วยเหมือนกันครับ
รอบ 2 โควตา : โอกาสมา
จงคว้าไว้
ความพึงพอใจ : 4.5/5
ระดับความยาก : 3/5 (ทักษะการไขว่คว้าโอกาส + ทักษะการตอบคำถามสัมภาษณ์ที่)
ปัญหาที่พบ : ค่าสมัครที่แตกต่างและช่วงเวลาที่หนักหนาสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลาย
รอบนี้เป็นรอบที่ไม่คิดว่าจะได้ยื่นครับ
เพราะดูโครงการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว คุณสมบัติของเอิร์ธไม่ผ่าน
อีกทั้งยังเป็นช่วงที่ต้องสอบสนามสอบต่าง ๆ ค่อนข้างหนักหน่วงในความรู้สึก
รวมถึงความรู้สึกเข็ดจากรอบที่แล้วด้วยก็เลยตั้งใจเรียนทำเกรดเทอมสุดท้ายและคะแนนสนามสอบต่าง
ๆ ให้ออกมาดีดีกว่า แต่แล้วก็พบว่าโครงการสู่ความเป็นเลิศด้านภาษาและวรรณคดีไทย
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนั้น
สามารถรอรับผล CU-TEP ได้หลังจากสมัคร เอิร์ธก็เลยตัดสินใจสมัครอีกรอบ
แต่คะแนนก็ไม่ได้ดีขึ้นจากเดิมเท่าไหร่ คุณสมบัติจึงไม่ผ่านครับ (ร้องไห้หนักมาก)
เนื่องจากรอบนี้เราเสียเงินให้กับระบบนี้ไปพอสมควรแล้ว (มีสรุปรวมรายจ่ายคร่าว
ๆ ของเอิร์ธตอนท้ายครับ) รวมกับความช้ำใจของเราที่เกิดจากความผิดพลาดทำให้เอิร์ธต้องมานั่งคิด
คำนวณ และวางแผนอย่างรอบคอบและเกิดผลดีที่สุด
เพื่อที่จะเป็นการประหยัดเงินช่วยพ่อแม่และรักษาความรู้สึกของตัวเองไปพร้อมกันด้วย
หมายเหตุ : จริง ๆ รอบนี้เอิร์ธอยากยื่นการแสดงและกำกับการแสดง
สาขาวิชาศิลปะการแสดง คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ
แต่เอิร์ธพลาดไม่ได้ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด คิดว่ามีอยู่ในอันดับรอบที่ 4 ด้วยครับ
รอบ 3 รับร่วม : ติดได้หลายที่ มีปัญหาหลายจุด
ความพึงพอใจ : 1/5
ระดับความยาก : 4.5/5 (ทำคะแนนสอบสนามสอบต่าง ๆ ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง)
ปัญหาที่พบ : ติดได้หลายอันดับ ไร้ตัวสำรอง
และช่วงระยะเวลาที่รู้สึกนานเกินไปจนเริ่มบั่นทอนจิตใจ
ระยะห่างจากรอบที่สองสู่รอบที่สามมันยาวนานมาก ๆ เลยครับ
นานจนสงสัยว่าตัวเองกำลังจะขึ้นมหาวิทยาลัยแล้วจริง ๆ หรือเปล่า
แต่เอิร์ธก็ใช้เวลาทุก ๆ วันไปกับการวางแผนอันดับรอบที่สาม และหางานพิเศษทำไปด้วย
ได้แก่ ห้างดอกบัวที่ไม่ยอมติดต่อกลับมา ราชาแซนวิชกลมที่ตกสัมภาษณ์ และเจ็ดสิบเอ็ดแถวบ้านที่อายุไม่ถึง
เฮ้อ~ มหาวิทยาลัยก็นกมาสองรอบแล้ว งานพิเศษก็กลายเป็นนกไปอีก
แต่ไม่เป็นไรครับ เรื่องเข้ามหาวิทยาลัยต้องมาก่อนอยู่แล้ว
โดยเอิร์ธเรียงลำดับดังนี้
อันดับ 1 เลือกสอบวิชาภาษาเกาหลี
พื้นฐานศิลปศาสตร์ สาขาวิชาอักษรศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เนื่องจากปีการศึกษา 2561 เป็นปีแรกที่จะเปิดสาขาวิชาภาษาเกาหลีเป็นวิชาเอก
คะแนน Pat เกาหลีของเอิร์ธออกมาก็ไม่ได้แย่ซะเท่าไหร่
และเอิร์ธก็มีความสนใจในภาษานี้อยู่แล้วจึงลองจัดไว้ในอันดับหนึ่งครับ
อันดับ 2 เลือกสอบวิชาภาษาไทย สาขาวิชามัธยมศึกษา (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ตามที่บอกไปข้างต้นครับ เอิร์ธมีความฝันอย่างหนึ่ง คือ
อยากเป็นครู รวมกับคะแนนวิชาภาษาไทยในสนามสอบ 9
วิชาสามัญก็ออกมาดีกว่าวิชาสังคม
เอิร์ธจึงไม่รอช้าตัดสินใจไว้อันดับที่สองทันทีเลยครับ
อันดับ 3 วิชาเอกการออกแบบเพื่องานภาพยนตร์และสื่อดิจิทัล สาขาวิชาภาพยนตร์และสื่อดิจิทัล วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม
มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ
ผู้กำกับละครก็เป็นความฝันอีกหนึ่งอย่าง รวมทั้งเอิร์ธลองค้นหาข้อมูลประกอบเกี่ยวกับคณะนี้มีความสนใจไม่แพ้กับคณะศิลปกรรมศาสตร์
เอิร์ธจึงอยากขอทุ่มเทให้กับความฝันที่อยากเป็นผู้กำกับการละครกับการเข้ามหาวิทยาลัยเป็นครั้งสุดท้าย
อันดับ 4 วิชาเอกภาษาเกาหลี
สาขาวิชาภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ
ภาษาเกาหลีก็เป็นที่นึกถึงของมหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒอีกหนึ่งอย่าง
นอกจากจะลองยื่นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแล้ว
เอิร์ธคิดว่าการเรียนภาษาเกาหลีก็ดีไม่แพ้กัน
และแล้วก็มาถึงวันประกาศผล
เอิร์ธจำได้ว่าคนในกลุ่มเพื่อนสนิท มีคนลุ้นอยู่ประมาณ 5 คน เพราะอีก 4 คนติดและยืนยันสิทธิในรอบก่อนหน้าไปแล้ว
ผลที่ออกมาก็คือ เอิร์ธไม่ติดอันดับไหนเลยครับ (หัวใจแหลกสลาย)
จำความรู้สึกตอนนั้นได้ว่า
เราไม่เข้าใจและไม่อยากเข้าใจอะไรเลย ทำไมไม่ติด ทั้ง ๆ ที่เราควรจะติดสักอันดับ เราทักไปหาพ่อและแม่
ขอโทษที่ทำให้ไม่ได้ พ่อแม่ก็แนะนำมาว่าไปเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนไหม แต่พอมานึกถึงสิ่งที่เคยคิดเกี่ยวกับความน่าจะเป็นของรอบนี้แล้วก็ไม่แปลกใจ
เป็นปัญหาของระบบเองที่คนหนึ่งคนมีสิทธิติดได้หลายที่ (ไม่ใช่ความผิดของผู้สมัคร
เพราะระบบให้สิทธิเขา) ทั้งที่มีการจัดอันดับ และไม่มีการประกาศรายชื่อตัวสำรอง
กลายเป็นว่าจำนวนคนที่ติดมีเยอะนะครับ แต่พออินเวอร์สออกมาแล้ว
มีแต่คนที่เป็นหัวคะแนนตามเกณฑ์ของรอบนั้นที่ได้รับการคัดเลือก
คนที่มีคะแนนอยู่กลาง ๆ เป็นต้นไปก็หมดหวัง
จึงไม่แปลกใจที่จะกระแสไม่พอใจบนสังคมออนไลน์มากมายเกี่ยวกับรอบนั้น
และสำหรับเอิร์ธ การแก้และการจัดการปัญหาก็ไม่ได้โอเคต่อความรู้สึกของ #Dek61 เท่าไหร่
เอิร์ธก็เลยต้องขอสู้ต่อรอบที่ 4
รอบ 4 Admission : คนรอมันท้อ แต่ก็คุ้มค่า
ความพึงพอใจ : 2/5
ระดับความยาก : 3/5 (ทักษะการจัดอันดับที่ดี + คะแนนจากสนามสอบดี + เกรดที่ไม่ขี้เหร่)
ปัญหาที่พบ : ช่วงเวลาแห่งการรออันแสนนานเกินไป
จิตใจของเด็กเริ่มมีปัญหาเข้ามาแทรกซึม
รอบนี้คือรอบเด็ดขาดและรอบสุดท้ายของเราแล้ว…
เอิร์ธตั้งเป้าหมายไว้แบบนั้นสำหรับรอบนี้
รวมถึงพอเปลี่ยนเกณฑ์รอบแล้ว คะแนนของเอิร์ธเพิ่มขึ้นมาพอสมควร
แต่ก็ประหม่าไม่ได้เช่นกัน เพราะถ้าเราเพิ่ม คนอื่น ๆ ก็มีสิทธิเพิ่ม
การจัดอันดับจึงต้องมีความรอบคอบ มีเหตุผลมากกว่าเก่า
และมีความกว้างของข้อมูลเข้ามาประกอบการตัดสินใจมากขึ้น
ในระหว่างที่หมดหวังกับงานพิเศษ เอิร์ธก็หาข้อมูล
ลงไปลึกมากกว่าเก่า ไปดูสัมภาษณ์ รีวิวของรุ่นพี่จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ไม่ได้ดูเฉพาะเจาะจงแค่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒแล้ว
การจัดอันดับในรอบที่ 4 ของเอิร์ธจึงออกมาเป็นดังนี้
อันดับ 1 รูปแบบที่ 1
สาขาวิชามัธยมศึกษา (มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์) คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เอิร์ธตัดสินใจว่า
รอบนี้เอิร์ธขอต้องให้พื้นที่กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยแค่เพียงที่เดียว
ต้องกระจายโอกาสไปมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่น่าสนใจตามที่ได้ไปศึกษาบ้าง อีกทั้งแนวโน้มของคณะอักษรศาสตร์
คะแนนจะสูงมาก เอิร์ธจึงขอยืนหยัดที่ความฝันของการเป็นครู แม้ว่าอันดับนี้
จำนวนรับจะน้อยก็ตาม
อันดับ 2 สาขาวิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
การศึกษาค้นคว้าข้อมูลของรอบนี้
ต้องบอกเลยว่ามหาวิทยาลัยมหิดลมาแรงมาก ๆ ขอสารภาพตามตรง
เอิร์ธเพิ่งรู้ว่ามหิดลก็มีคณะสายศิลป์ แถมยังอยู่ในสายที่เราสนใจ
อีกทั้งการจัดทำข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับมหิดลกินขาดมหาวิทยาลัยอื่น ๆ มาก ๆ
เพราะมีช่องที่ทำ Content ของมหาวิทยาลัยมากมายอย่าง WeMahidol หลังจากที่ยื่นไปแล้ว
ดูจนตาเปียกตาแฉะ จนเก็บเอาไปฝันว่าได้เรียนที่นี่
อันดับนี้เป็นอันดับที่เอิร์ธคาดหวังสูงว่าจะต้องติดแน่นอน
อันดับ 3 เลือกสอบวิชาภาษาเกาหลี สาขาวิชาภาษาเกาหลี
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
แนวโน้มของคะแนนคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒจะสูงขึ้น เอิร์ธเลยตัดสินใจว่า
ถ้าหากจะได้เรียนภาษาเกาหลี ขอไปเรียนที่มหาวิทยาลัยบูรพาล่ะกัน
เนื่องจากสถาบันนี้ก็มีความโดดเด่นในเรื่องนี้และสถานที่ตั้ง แม้จะไม่ใช่กรุงเทพฯ
แต่ทะเลก็ถูกใจเอิร์ธมาก
อันดับ 4 สาขาวิชาภาษาไทย (ภาคปกติ) คณะมนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน
อันดับนี้เป็นอันดับที่เป็น Safe zone ของเอิร์ธ มั่นใจว่าต้องติดแน่
ๆ ถ้าหลุดจากอันดับต้น ๆ ด้วยความที่เพื่อนผู้สนิทคนหนึ่งซึ่งติดรอบก่อนหน้าไปแล้วมาอ้อนว่ามาอยู่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
บางเขนด้วยกันเถอะ อีกทั้งที่ตั้งก็มีตรงตามที่ต้องการ หลักสูตรก็มีความน่าสนใจ
เอิร์ธจึงตัดสินใจได้อย่างไม่ลังเล
ต้องบอกก่อนว่า น้อง ๆ คนไหนที่จะรอถึงรอบที่ 4 พี่แนะนำว่าให้หากิจกรรมที่อยากจะทำไว้เยอะ
ๆ เพราะรอนาน ๆ
ก็อาจจะบั่นทอนหัวใจ อย่าให้นานเกินไป ก่อนอะไรมันอาจจะสาย ท่อนหลังนี่ไม่เกี่ยว อยากร้องเพลงเฉย ๆ ครับ ฮ่า ๆ
ที่กล่าวไปว่าให้หากิจกรรมที่อยากจะทำไว้
เพราะกว่าจะถึงรอบนี้ น้องจบมัธยมฯ มาระยะหนึ่ง มันจะว่างมาก ถ้าอยากได้เงินค่าขนม
ก็ไปทำงานพิเศษครับ (แม้พี่จะนก แต่ห้างดอกบัวติดต่อมาตอนที่พี่กำลังจะย้ายของเข้าหอได้อาทิตย์หนึ่ง
จะร้องไห้ แงง) ถ้าอยากได้ความบันเทิง
ก็นัดเพื่อนไปเที่ยวที่ที่อยากไปก่อนจะต้องแยกย้ายกันไปตามเส้นทางความฝัน
หรือไม่ก็ทำงานอดิเรกก็ได้ครับ
สำหรับเอิร์ธ ช่วงที่รอการประกาศผลนั้น
เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการดูละคร ดูหนังที่อยากดู เสพสื่อเป็นส่วนใหญ่
จำได้ว่าช่วงก่อนประกาศ ข่าวที่ดัง คือ เด็ก 13 คนติดถ้ำหลวง ตอนนั้นอารมณ์มันดิ่งมากเลยครับ
แล้วก็มีจัดทริปไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง จริง ๆ ช่วงที่รอประกาศผลไม่ค่อยอยากไปเจอเพื่อนเท่าไหร่
เพราะกลัวว่าถ้าเขาคุยเรื่องมหาวิทยาลัยกัน
จะดิ่งไปอีกเลยทำได้แค่รอความหวังอย่างเงียบ ๆ
และแอบบ่นปนด่าระบบในทวิตเตอร์ไปเพื่อระบาย
และแล้ววันที่ประกาศผลก็มาถึง วันนั้นพี่ลาเต้
เด็กดีบอกว่าสีมงคลคือสีแดง รีบเปลี่ยนเสื้อแล้วเพื่อนในกลุ่มก็มานั่งประชุมสายบนแอปพลิเคชันไลน์ช่วยกันลุ้น
ความรู้สึกตอนนั้นคือที่ไหนก็ได้ พร้อมหมด ถ้าโชคชะตาเลือกแล้ว
แต่ก็ดันตื่นเต้นก่อน ให้เพื่อน ๆ ดูกันไปก่อน เดี๋ยวเอิร์ธดูทีหลัง
ก็มีเพื่อนติดบูรพาตามที่หวัง ติดมหาวิทยาลัยสารคาม ซึ่งเจ้าตัวก็ชิงร้องไห้เพราะมันไกล
ก็ต้องปลอบใจกันอยู่พักใหญ่ และเอิร์ธ…
พบกันช่วงหน้าครับ (ตัดจบแบบรายการดูดวงชื่อดัง)
ผลลัพธ์ของการรอรอบที่ 4 แอดมิดชันนั้น เอิร์ธติดอันดับที่
2 สาขาวิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล!!! (ตอนนี้เรียนจบปีหนึ่งแล้วครับ เดี๋ยวมีรีวิวให้ฟัง
ฝากติดตามกันด้วยนะครับ)
ความรู้สึกตอนนั้น คือ ดีใจนะ แม้จะแอบเสียดายอันดับอื่น
ๆ แต่พอบอกเพื่อนและบอกพ่อกับแม่ ทุกคนต่างยินดีและมีความสุขไปกับเรา
….สิ่งที่เราต้องการในชีวิตช่วงนั้นมีแค่นี้จริง
ๆ
ค่าใช้จ่ายที่ใช้ไปในระบบ TCAS โดยประมาณ
หัวข้อ
|
รายการ
|
รายจ่าย
|
หมายเหตุ
|
การเตรียมตัว
|
ติว TCAS Boost up
|
50
|
โปรโมชั่นวิชาละ 1 บาท
|
หนังสือเตรียมสอบสนามสอบต่าง ๆ (Gat
Pat, 9 วิชาสามัญ, CU-TEP และ TU-GET เป็นต้น)
|
5,500
|
ประมาณ 15 เล่ม
|
|
ค่าหมึกเครื่องปริ้นเตอร์ที่ใช้พิมพ์ตัวอย่าง
Portfolio, ใบสมัคร, แบบฝึกหัดข้อสอบ หรือเนื้อหาต่าง ๆ
|
1,200
|
3 ครั้ง
|
|
ค่าสมัครสอบ
|
CU-TEP
|
1,800
|
3 ครั้ง
|
TU-GET
|
500
|
1 ครั้ง
|
|
Gat Pat
|
560
|
Gat, Pat1, Pat5 และ Pat7.7
|
|
9 วิชาสามัญ
|
300
|
ภาษาไทย สังคม ภาษาอังกฤษ
|
|
O-net
|
-
|
บังคับสอบ โรงเรียนสมัครให้
|
|
รอบที่ 1
|
พิมพ์รูปเล่ม Portfolio ที่ใช้ยื่นโครงการเด็กดีมีที่เรียน
|
1,800
|
2 เล่ม
|
ค่าสมัครมหาวิทยาลัยศรีนครินวิโรฒ
|
600
|
โครงการเด็กดีมีที่เรียน วิชาเอกการแสดงและกำกับการแสดงภาพยนตร์
สาขาวิชาภาพยนตร์และสื่อดิจิทัล วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม
|
|
ค่าสมัครมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
|
200
|
สาขาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
|
|
รอบที่ 2
|
ค่าสมัครจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย + ค่าสมัครสอบรายวิชาเฉพาะ
|
1,400
|
โครงการสู่ความเป็นเลิศด้านภาษาและวรรณคดีไทย คณะอักษรศาสตร์
|
รอบที่ 3
|
ค่าสมัครระบบ TCAS รอบ 3
|
900
|
4 อันดับ
|
รอบที่ 4
|
พิมพ์รูปเล่ม Portfolio ที่ใช้สัมภาษณ์
|
500
|
1 เล่ม
|
ค่าสมัครระบบ Admission รอบ 4
|
600
|
4 อันดับ
|
|
รวมค่าใช้จ่ายโดยประมาณทั้งสิ้น
|
15,910
|
ยังไม่รวมค่าเดินทางไปยังสนามสอบ
และค่าธรรมเนียมที่ต้องชำระให้กับธนาคาร
|
ยังไงก็ขอขอบคุณทุกคนนะครับที่ติดตามอ่านมาจนถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าสำนวนการเขียนจะอ่านยากหรือเปล่า
ยังไงก็ฝากติชม กดไลก์ หรือกดแชร์ไปให้สมาชิกเพื่อน สมาชิกรุ่นน้อง
หรือสมาชิกครอบครัวร่วมอ่านกันได้นะครับ
เร็ว ๆ
นี้จะมีรีวิวชีวิตการเรียนปีหนึ่งกับสาขาวิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหิดลด้วยครับ ฝากติดตามด้วยนะครับ
ด้วยรักและจะร่วมสร้างโลกอย่างสร้างสรรค์
Do the Earth